นำเข้าสินค้าจากจีน ในปัจจุบันมีการขนส่งด้วยตู้คอนเทนเทอร์ ซึ่งเป็นระบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการขนส่งไม่ว่าจะเป็นทางเรือ ทางรถบรรทุก ทางรถไฟ ไปจนถึงทางเครื่องบิน โดยใช้ตู้คอนเทนเนอร์ที่มีมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด
ตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งถูกคิดค้นและจดสิทธิบัตรขึ้นในปี 1956 โดยชายชาวอเมริกัน Malcom McLean (มัลคอม แมคเลน) หรือ ‘บิดาแห่งตู้คอนเทนเนอร์’ เป็นผู้ประกอบการรถบรรทุกที่เป็นเจ้าของเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่
เขาได้สังเกตเห็นว่าเดิมทีสินค้าทั้งหมดถูกบรรทุกด้วยลังไม้ การขนถ่ายของขึ้นเรือบรรทุกนั้น จะต้องขนขึ้น-ลงทีละชิ้น (Break Bulk) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ช้าและไม่มีประสิทธิภาพ จึงได้ผุดไอเดียที่จะยกสินค้าจากรถบรรทุกทั้งคันขึ้นเรือโดยตรงโดยไม่ต้องขนของออกก่อน
Malcom คิดออกแบบวิธีขนสินค้าด้วยตู้คอนเทนเนอร์และยกเลิกการโหลดสินค้าขึ้นเรือแบบเดิมทั้งหมด ต่อมาในเดือนเมษายน ปี 1956 เขาได้ปล่อยเรือคอนเทนเนอร์ลำแรกออกจากท่าเรือ Newark เมือง New Jersey มุ่งสู่เมือง Houston ได้สำเร็จ ซึ่งวิธีการขนส่งด้วยตู้คอนเทนเนอร์ของ Malcom นั้นมีความรวดเร็วกว่าแบบเดิมมากและมีการจัดระเบียบที่ดี ทำให้ลดต้นทุนการขนส่งไปได้มากกว่า 90% จนได้รับขนานนามว่าเป็น ‘บุคคลแห่งศตวรรษ’ อีกทั้งช่วยให้การขนส่งด้วยตู้คอนเทนเนอร์เป็นที่ยอมรับในระดับสากลและมีการพัฒนาให้เป็นระบบมาตรฐานที่ใช้กันทั่วโลก
ปัจจุบันตู้คอนเทนเนอร์โดยทั่วไปจะมีขนาดมาตรฐานเดียวกัน มีโครงสร้างภายนอกที่แข็งแรง ทำด้วยเหล็กหรืออลูมิเนียม มีประตูสำหรับเปิด-ปิด 2 บานและมีที่ล็อกประตูให้ปิดมิดชิด ภายในตู้สามารถบรรจุสินค้าวางเรียงซ้อนกันได้ไม่น้อยกว่า 10 ชั้นและมีการยึดตู้แต่ละตู้ติดกัน นอกจากนี้ยังมีการบอกรายละเอียดต่างๆ เช่น การระบุหมายเลขตู้ (Container Number) หรือน้ำหนักของสินค้าบรรจุสูงสุด เป็นต้นนอกจากจะมีลักษณะตามาตรฐานดังกล่าวแล้ว ยังมีขนาดที่หลากหลายและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะสำหรับการบรรจุสินค้าแต่ละประเภทและปริมาณของสินค้าที่จัดส่ง โดยมีทั้งหมด 7 ประเภท ได้แก่
1. ตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐาน Dry Cargoes / Dry Box
ใช้บรรจุสินค้าที่มีการบรรจุหีบห่อหรือภาชนะมาแล้ว และเป็นสินค้าทั่วไปที่ไม่จำเป็นต้องรักษาอุณหภูมิ มีการใช้เชือกไนลอน (Lashing) รัดหน้าตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อเป็นการเสริมความแข็งแรงและป้องกันสินค้าเลื่อนหรือขยับระหว่างขนส่ง ใช้เชือกไนลอน มีทั้งขนาด 20,40 ฟุต และ 40,45 ฟุตไฮคิวบ์ โดยมักใช้สำหรับขนส่งสินค้าประเภทอาหารแห้ง ขนมขบเคี้ยว เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า กระเป๋า แผ่นยางพารา เป็นต้น
2. ตู้คอนเทนเนอร์ควบคุมความเย็น Refrigerator Cargoes/ Reefer
เป็นตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งสินค้าที่มีเครื่องทำความเย็นอยู่ภายในและมีที่วัดอุณหภูมิเพื่อแสดงอุณหภูมิของตู้สินค้า เพื่อให้มีอุณหภูมิคงที่และเหมาะแก่การเก็บรักษาสินค้าประเภทนั้นๆ โดยสามารถลดอุณหภูมิได้ถึง -25 องศาเซลเซียสและบางชนิดสามารถปรับได้ถึง -60 องศาเซลเซียส มักใช้ขนส่งสินค้าที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิ เช่น อาหารสด ผลไม้ อาหารแช่แข็ง ยาเวชภัณฑ์ สารเคมีบางชนิด เป็นต้น
3. ตู้คอนเทนเนอร์ Open Top
เป็นตู้ที่มีขนาดใหญ่ มีความสูงถึง 40 ฟุต โดยถูกออกแบบมาไม่ให้มีหลังคา เพื่อใช้ในการขนส่งสินค้าที่มีขนาดใหญ่ เช่น เครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม เครื่องโม่หิน อุปกรณ์ก่อสร้าง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ เป็นต้น ซึ่งตู้ประเภทนี้จะไม่สามารถวางเรียงซ้อนกันได้ อาจทำให้มีข้อจำกัดด้านพื้นที่และมีราคาสูงกว่าตู้แบบทั่วไป
4. คอนเทนเนอร์ Flat-Rack
ตู้คอนเทนเนอร์ที่มีพื้นราบ มีขนาดกว้างและยาวตามขนาดของตู้สินค้ามาตรฐาน แต่จะเปิดโล่งทั้งด้านบนและด้านข้าง ถูกออกแบบมาเพื่อใช้บรรจุสินค้าที่มีลักษณะพิเศษและไม่สามารถบรรจุด้วยตู้ขนาดมาตรฐานได้ เช่น เครื่องยนต์อุตสาหกรรม แท่งหิน หัวรถจักร เครื่องจักรประติมากรรม รถแทรกเตอร์ขนาดใหญ่ ท่อชนิดต่างๆ เป็นต้น
5. ตู้คอนเทนเนอร์ Garment Container
ใช้สำหรับบรรจุสินค้าที่เป็นเสื้อผ้าโดยเฉพาะ โดยจะมีราวแขวนเสื้อและถูกออกแบบพิเศษเพื่อใช้กับสินค้าจำพวก Fashion สามารถขนส่งได้โดยไม่ต้องพับหรือไม่เสียรูปทรง
6. ตู้คอนเทนเนอร์ Ventilated
ใช้สำหรับขนส่งสินค้าทางการเกษตรโดยเฉพาะและมีช่องสำหรับระบายอากาศ
7. ตู้คอนเทนเนอร์ Tank / ISO Tank
ตู้คอนเทนเนอร์ที่มีลักษณะคล้ายถัง สำหรับบรรจุของเหลว โดยมีโครงสำหรับครอบตัวถังขนาดเท่าตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐาน มีความจุของถังประมาณ 11,000- 26,000 ลิตร ใช้สำหรับบรรจุสินค้าที่เป็นของเหลว รวมทั้งของเหลวที่เป็นอันตราย
ดังนั้นการเลือกใช้ตู้คอนเทนเนอร์แต่ละประเภท จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงประเภทสินค้า ปริมาณและขนาด คุณสมบัติเฉพาะ ค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมทั้งควรทำประกันการขนส่งสินค้า เพื่อให้สามารถขนส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงจากความเสียหายของสินค้าระหว่างการขนส่ง โดยเฉพาะสินค้าที่มีความเปราะบาง สินค้าที่ต้องรักษาอุณหภูมิหรือมีคุณสมบัติเฉพาะทั้งหลาย เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ควรเลือกบริษัทขนส่งที่มีความน่าเชื่อถือและมีมาตรฐาน มีความเป็นมืออาชีพ เพื่อให้สามารถขนส่งสินค้าได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย (อ่านวิธีเลือกบริษัทขนส่งได้ที่ 9 ข้อที่ต้องเช็ค ก่อนเลือกใช้บริษัทชิปปิ้ง) อย่าง Red Logistics บริษัทขนส่งมืออาชีพ ให้บริการนำเข้าสินค้าจากจีน พร้อมเดินพิธีผ่านศุลกากรอย่างถูกกฎหมาย ลูกค้าจะได้รับเอกสารการนำเข้าและเอกสารสำหรับลดหย่อนภาษีทุกฉบับโดยเป็นชื่อของลูกค้าทั้งหมด พร้อมจัดส่งสินค้าทั่วประเทศ